ลักษณะที่ใช้ในการจำแนกพันธุ์อ้อย
มาตรฐานที่ใช้จำแนกลักษณะภายนอกของอ้อย
ก่อนที่จะกล่าวถึงลักษณะต่าง ๆ จำเป็นต้องกำหนดมาตรฐานที่ใช้ในการศึกษาลักษณะ ภายนอกเสียก่อน มาตรฐานที่กล่าวต่อไปนี้เป็นมาตรฐานสากลที่ใช้กันทั่วไป การกำหนดมาตรฐานเป็นสิ่งจำเป็นทั้งนี้เพราะว่าลักษณะบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อมและอายุ เช่น สีของลำต้นในพันธุ์เดียวกัน กอที่อยู่ริมไร่อาจแตกต่างจากกอที่อยู่กลางไร่ หรือแม้แต่ในกอเดียวกัน สีของลำต้นที่แก่ ก็อาจแตกต่างจากลำต้นที่อ่อน หรือในที่สุดแม้กระทั่งในลำต้นเดียวกันสีส่วนที่ไม่กาบหุ้มก็อาจแตกต่างจากส่วนที่มีกาบหุ้มดังนี้เป็นต้น นอกจากสีของลำต้นแล้วลักษณะอื่น ๆ เช่น ตาแต่ละตาก็อาจแตกต่างกันตั้งแต่โคน จนถึงยอด ทั้งนี้เพราะอายุต่างกันนั่นเอง ตาที่อยู่ต่ำกว่ามีอายุมากกว่า ส่วนตาที่อยู่เหนือขึ้นไปจะมีอายุลดหลั่นตามลำดับ และในระหว่างตาแก่ที่สุดซึ่งอยู่ส่วนโคนและอ่อนที่สุดซึ่งอยู่ส่วนยอดนั้น ก็จะมีตาที่เหมาะสมสำหรับใช้ดูลักษณะของตาอยู่เพียง 2 หรือ 3 ตา เท่านั้น นอกจากนี้ขนาดของหูใบและลิ้นใบก็อาจแตกต่างกันในใบที่แก่หรืออ่อนเกินไป ดังนั้นจึงจำเป็นต้องกำหนดมาตรฐานเสียก่อน เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน มาตรฐานดังกล่าว มีดังนี้ (เกษม และคณะ. 2520)
อย่างไรก็ดีแม้จะได้ใช้มาตรฐานเดียวกัน แต่ลักษณะที่ได้จากแต่ละตัวอย่างก็อาจจะแตกต่างกันไป ดังนั้นจึงจำเป็นต้องดูจากหลาย ๆ ตัวอย่าง ลักษณะรูปร่างอย่างใดมีมากกว่าก็ให้ถือลักษณะรูปร่างนั้นเป็นเกณฑ์
นอกจากรู้จักส่วนที่จะนำมาศึกษาลักษณะต่าง ๆ ดังได้กล่าวมาแล้ว ก็จำเป็นต้องพิจารณาลักษณะอื่น ๆ ประกอบกันด้วย คือ
ความจำเป็นที่จะต้องรู้จักพันธุ์อ้อย
พันธุ์อ้อยที่มีอยู่ในประเทศไทยขณะนี้มีมากกว่า 200 พันธุ์ ในจำนวนนี้มีประมาณ 20 พันธุ์ เท่านั้นที่ปลูกเป็นการค้าอยู่ในภาคต่าง ๆ ของประเทศ จากการที่มีพันธุ์เป็นจำนวนมากนี้เอง ทำให้เกิดการสับสนในเรื่องพันธุ์ขึ้น มีชาวไร่จำนวนไม่น้อยที่ปลูกอ้อยโดยไม่ทราบว่าเป็นพันธุ์อะไร เพราะบางพันธุ์มีลักษณะคล้ายคลึงกัน บางรายก็ไม่แน่ใจว่าพันธุ์ที่ตนปลูกนั้นเป็นพันธุ์แท้ตรงตามชื่อ ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องหาข้อยุติ โดยการสอบถามผู้รู้ ซึ่งบางครั้งก็หาได้ไม่ง่ายนัก
การรู้จักพันธุ์อ้อยนอกจากจะเป็นประโยชน์ในด้านการศึกษาพันธุ์แล้ว ยังเป็นประโยชน์ในด้านการผลิตอีกด้วย เป็นที่ทราบกันดีว่าอ้อยแต่ละพันธุ์ต้องการสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแตกต่างกัน และต้องการดูแลรักษาแตกต่างกันด้วย ดังตัวอย่าง เช่น พันธุ์ เค.76-4 เจริญเติบโตและให้ผลผลิตสูงในที่ลุ่ม ซึ่งมีการชลประทานดี ส่วนพันธุ์ ซีโอ.1148 เติบโตได้ดีกว่าในที่ดอน ซึ่งอาศัยน้ำฝนดังนี้ เป็นต้น นอกจากนี้อ้อยแต่ละพันธุ์ยังมีความแตกต่างกันในด้านอื่น ๆ อีก เช่น อายุเก็บเกี่ยว น้ำหนัก ความหวาน ความทนทานต่อโรคและแมลง ตลอดจนการสูญเสียน้ำหนัก และความหวานภายหลังตัด เป็นต้น
ดังนั้น การรู้จักพันธุ์อ้อยนับว่าเป็นสิ่งจำเป็น อย่างน้อยที่สุดก็ช่วยให้ชาวไร่แน่ใจว่าอ้อยที่ปลูกนั้นเป็นพันธุ์ที่ต้องการ และเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ของตน ซึ่งจะทำให้สามารถปฏิบัติการต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม ขณะเดียวกันก็จะมีผลทำให้ผลผลิตน้ำตาลต่อไร่เพิ่มขึ้นด้วย
ในการศึกษาพันธุ์ครั้งนี้ คณะผู้เขียนมีวัตถุประสงค์ที่จะให้ชาวไร่ได้รู้จักพันธุ์อ้อยของตนเป็นสำคัญ ดังนั้นจึงได้พยายามเน้นเฉพาะลักษณะที่เห็นได้ง่าย และเด่นชัด แต่ก็ได้รวมเอาลักษณะที่สังเกตได้ยาก เช่น กลุ่มขนที่อยู่บนส่วนต่าง ๆ ไว้ด้วย เพื่อให้ผู้ที่มีความสนใจเป็นพิเศษได้ใช้เป็นแนวทางสำหรับศึกษาพันธุ์อ้อยต่อไป
นอกจากลักษณะทางพฤกษศาสตร์ซึ่งเป็นสาระสำคัญในหนังสือเล่มนี้แล้ว คณะผู้เขียน ยังได้รวบรวมลักษณะบางอย่างทางเกษตรที่เห็นว่าจำเป็นไว้ด้วย เพื่อให้ชาวไร่ใช้ประโยชน์การตัดสินใจเลือกพันธุ์อ้อยสำหรับปลูกอย่างไรก็ดีลักษณะทางเกษตรมีการเปลี่นแปลงได้ง่ายทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ สภาพแวดล้อม และการปฏิบัติของชาวไร่เป็นสำคัญ ตัวอย่าง เช่น
ผลผลิตอ้อย เค.88-92 ในหนังสือนี้กล่าวว่าให้ผลผลิตสูง (มากกว่า 15 ตัน/ไร่) แต่ถ้า ชาวไร่มีการปฏิบัติอย่างเหมาะสมอาจให้ผลผลิตสูงกว่านี้ในทำนองเดียวกันถ้าปฏิบัติไม่ถูกก็ทำให้ได้ ผลผลิตต่ำกว่า 15 ตัน/ไร่ เป็นต้น อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ การออกดอก อ้อยบางพันธุ์อาจไม่เคยออกดอก มาก่อน จนกระทั่งถึงเวลาที่ศึกษา แต่อาจออกดอกในระยะต่อมาดังนั้น เป็นต้น ส่วนลักษณะทาง พฤกษศาสตร์นั้น อาจมีการเปลี่ยนแปลงบ้างแต่น้อยมาก เมื่อเทียบกับลักษณะทางเกษตร ดังนั้นจึงเชื่อถือได้มากกว่า
ลักษณะภายนอกของอ้อย
ในการจำแนกพันธุ์อ้อยสิ่งจำเป็นที่จะต้องทราบก่อนก็คือส่วนต่าง ๆ ของอ้อยและศัพท์ทางวิชาการที่ใช้เรียกชื่อส่วนต่าง ๆ เหล่านั้น ความจริงนักพฤกษศาสตร์ทางอ้อยได้ศึกษาไว้โดยละเอียด แต่ลักษณะบางอย่างก็ไม่สะดวกที่จะใช้ศึกษาในไร่โดยชาวไร่ ดังนั้น ในที่นี้จะขอกล่าวเฉพาะลักษณะสำคัญที่ใช้ในการจำแนกพันธุ์เท่านั้น ลักษณะบางอย่างสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าและรู้สึกได้ด้วยการสัมผัส แต่บางอย่าง เช่น ขนที่อยู่บนส่วนต่าง ๆ ของใบและตา อาจจำเป็นต้องใช้แว่นขยายเข้าช่วย ลักษณะเหล่านี้ ได้แก่
1. ลำต้น ประกอบด้วยข้อและปล้องเป็นจำนวนมากเรียงติดต่อกัน ข้อ หมายถึง ส่วนที่อยู่ระหว่างรอยกาบถึงวงเจริญ ปล้อง คือ ส่วนตั้งแต่วงเจริญถึงรอยกาบที่อยู่เหนือขึ้นไป โดยทั่วไปมักเรียก สั้น ๆ ว่าปล้อง หมายถึง ความยาวจากรอยกาบหนึ่งถึงรอยกาบอีกอันหนึ่ง หรือกล่าวคืออย่างหนึ่งคือส่วนที่มีหนึ่งข้อกับหนึ่งปล้อง ลำต้นประกอบด้วยหลายปล้อง ซึ่งมีความยาวต่างกัน ตอนโคนสั้นมากและค่อย ๆ ยาวขึ้นจนถึงยาวที่สุด และลดลงเมื่อใกล้ยอด ความยาวของปล้องขึ้นอยู่กับพันธุ์และสิ่งแวดล้อม ปล้องมี รูปร่างแตกต่างกันตามพันธุ์ เช่น ทรงกระบอก มัดข้าวต้ม โคนโป่ง ปลายโป่งและโค้ง รายละเอียดส่วน ต่าง ๆ ของข้อและปล้องตลอดจนลักษณะรูปร่างได้แสดงไว้ในรูปที่ 1 และ 2 การจัดเรียงของปล้องอาจเป็นเส้นตรง หรือซิกแซ็กก็ได้ ดังรูปที่ 3 ลำต้นประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้
2. ตา เป็นส่วนที่มีความสำคัญมากในการจำแนกพันธุ์ บางพันธุ์ตามีลักษณะแตกต่างจากพันธุ์อื่นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนต่าง ๆของตาดูได้จากรูปที่ 4 ส่วนรูปของตาได้แสดงไว้ในรูปที่ 5 ลักษณะที่ควรสังเกตจากตามีดังนี้
3. ใบ
พันธุ์อ้อยแนะนำจากหน่วยงานต่าง ๆ
พันธุ์จากต่างประเทศ คือ
พันธุ์อ้อยที่เกิดในประเทศไทย โดย นักวิชาการชาวไทย คือ
ในจำนวนนี้พันธุ์ที่ปลูกมากที่สุด คือ เค.84-200 ซึ่งปลูกในภาคกลางและภาคเหนือ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 และกำลังขยายไปในภาคอื่น ๆ การปลูกอ้อยพันธุ์เดียวเกินกว่าร้อยละ 30 นับว่าเสี่ยงมากเพราะถ้าอ้อยพันธุ์นี้เกิดโรคระบาดรุนแรงก็จะเสียหายมากเช่นเดียวกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งปลูกพันธุ์มาร์กอสมากกว่า 40% ขณะนี้อ้อยตอของพันธุ์มาร์กอสกำลังเป็นโรคมาก โดยเฉพาะอ้อยตอ หลังจากไถรื้อตอแล้วชาวไร่ควรหาอ้อยพันธุ์ใหม่มาปลูกทดแทน
ขั้นตอนการปรับปรุงพันธุ์อ้อย
ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย เขต 2 สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย มีหน้าที่ทำการทดลองค้นคว้าหาพันธุ์อ้อยที่ให้ผลผลิตสูงและคุณภาพดี โดยการผสมพันธุ์หรือการชักนำให้กลายพันธุ์ และนำพันธุ์อ้อยพันธุ์ดีจากต่างประเทศมาทดลองเปรียบเทียบคัดเลือกพันธุ์ เพื่อทดสอบหรือคัดเลือกพันธุ์อ้อยที่ให้ผลผลิตสูง คุณภาพน้ำตาลดี ต้านทานต่อโรคและแมลง ทนทานต่อสภาพแห้งแล้งหรือน้ำขังและอื่น ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ก็ทำการรวบรวมพันธุ์อ้อยและศึกษาลักษณะต่างๆ ของพันธุ์อ้อยทุกชนิด รวมถึงพันธุ์พืชที่อยู่ในตระกูลเดียวกัน
วัตถุประสงค์
เพื่อปรับปรุงคุณสมบัติของพันธุ์อ้อยและคัดเลือกพันธุ์ดีที่เหมาะสมในแต่ละท้องถิ่น
ขั้นตอนการปรับปรุงพันธุ์อ้อย แบ่งออกเป็น 4 ขั้น ดังนี้
ขั้นที่ 1 การศึกษาเบื้องต้นและสร้างความแปรแรวนทางพันธุกรรม แบ่งย่อย ได้ดังนี้
1.1 การนำเข้า การรวบรวมและการศึกษาเบื้องต้นของลักษณะที่ต้องการของแหล่งพันธุกรรมของพันธุ์ สายพันธุ์และแหล่งรวมพันธุกรรม (Introduction, collection and observation of genetic resources of Variety, clone and gene pool.)
1.2 การสร้างความแปรแรวนทางพันธุกรรม (Creating genetic variation)
ขั้นที่ 2 การคัดเลือก (Selection) เป็นวิธีการคัดเลือกให้ได้พันธุ์หรือสายพันธุ์ที่ดี โดยแบ่งการคัดเลือกเป็น 2 ช่วง ดังนี้
ขั้นที่ 3 การประเมินผล (Evaluation) หมายถึงการตรวจสอบลักษณะที่ได้ผ่านการ คัดเลือกตามช่วงดังต่อไปนี้
ขั้นที่ 4 การรับรองพันธุ์ (Approval) สำหรับพันธุ์อ้อยที่ผ่านวิธีการปรับปรุงพันธุ์มาแล้ว จะต้องได้รับการพิจารณาเห็นชอบตามขั้นตอน ดังนี้
พันธุ์อ้อยที่ผ่านขั้นตอนการปรับปรุงพันธุ์อ้อยทุกขั้นตอนสมบูรณ์แล้วสามารถนำ พันธุ์อ้อยพันธุ์นั้นออกเผยแพร่สู่ชาวไร่กสิกรปลูกต่อไป
|
รายละเอียดเพิ่มเติมhttp://oldweb.ocsb.go.th/udon/Udon4/p10_smai.htm |
การจำแนกพันธุ์อ้อย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น