tag:blogger.com,1999:blog-11018449764696339232024-02-19T01:16:14.909-08:00การปลูกอ้อยteerawat roobngamhttp://www.blogger.com/profile/07774548420704503962noreply@blogger.comBlogger1125tag:blogger.com,1999:blog-1101844976469633923.post-15208094385115250682012-02-17T01:57:00.001-08:002012-02-17T01:57:14.396-08:00ความหวานของอ้อย<div align="center" class="style209">
อ้อย-หวาน-ไม่หวาน</div>
<div align="left" class="style208">
สวัสดีปีใหม่ท่านผู้อ่านทุกท่าน ปีใหม่ปีนี้สำหรับผู้เขียน นับว่าเป็นช่วงเวลาของการสงบนิ่ง เพื่อฝึกตนให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาททั้งหลาย<br />ทั้งปวง สงบนิ่งจนกระทั่งต้องส่งต้นฉบับช้าเกินกว่ากำหนดไปหลายวัน เป็นการวางแผนการทำงานที่ท่านผู้อ่านไม่ควรเอาเป็นแบบอย่างอย่างยิ่งช่วง<br />สัปดาห์แรกของปี ผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางผ่านจังหวัดอุดรธานี สกลนคร และเข้าสู่จังหวัดนครพนม ระหว่างทางสังเกตเห็นรถบรรทุกอ้อยเข้าสู่<br />โรงงานเป็นจำนวนมาก บรรทุกกันแบบไม่เกรงใจเพื่อนร่วมทาง ซึ่งต้องคอยช่วยลุ้นว่าอ้อยที่บรรทุกไว้จะร่วงลงมาหรือไม่ เวลาเข้าโค้งจะพลิกหรือ<br />ไม่พลิก เรียกว่าลุ้นกันได้กันไปตลอดทาง ก่อนที่จะเห็นประชากรรถบรรทุกอ้อยจอดเรียงรายหน้าโรงงานนับสิบนับร้อยคัน ส่วนใหญ่อ้อยที่ผู้เขียน<br />เห็นเป็นอ้อยที่ผ่านการเผาแล้วทั้งสิ้น คำแนะนำการตัดอ้อยโดยไม่เผาเห็นทีจะต้องกลับไปพิจารณากันให้ลึกซึ้งเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ผู้เขียน<br />สนใจว่าอ้อยที่ว่าหวาน ณ พ.ศ.ใหม่ หวาน หรือ ไม่หวาน ขออนุญาตนำผู้อ่านเข้าสู่เรื่องที่ว่าหวานๆ ใน <strong>“ฉีกซอง”</strong> ฉบับต้อนรับปีเถาะ พ.ศ. 2554 <br />โปรดติดตาม</div>
<div class="style210">
โลกของอ้อย</div>
<div class="style208">
ในอดีตหากกล่าวถึงอ้อยจะต้องคิดถึงน้ำตาลในทันใด แต่ยุคปัจจุบันอาจต้องคิดถึงเอทานอลพ่วงเข้าไปด้วย อย่างไรก็ตาม น้ำตาลยังคง<br />เป็นผลิตภัณฑ์ที่สำคัญของอ้อย จากรายงานของสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศประจำสหภาพยุโรป ได้สรุปรายงานของบริษัท <br />Czarnikow ผู้ค้าน้ำตาลรายเก่าแก่ที่สุดของ UK เรื่อง “Sugar in 2030 : How the World will meet an Extra 50% Demand” โดยทำการ<br />วิเคราะห์แนวโน้มการผลิตและการบริโภคน้ำตาลในอีก 20 ปีข้างหน้า โดยความต้องการบริโภคน้ำตาลทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 168 ล้านตัน<br />ในปี 2010 เป็น 260 ล้านตัน ภายในปี 2030 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 50% ภายใน 20 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของประเทศเศรษฐกิจใหม่ <br />(emerging market) ที่ทำให้ความต้องการบริโภคน้ำตาลเพิ่มขึ้น </div>
<div align="center" class="style208">
<img height="200" src="http://www.blogger.com/ceak.gif" width="600" /></div>
<div class="style208">
รายงานฉบับดังกล่าว คาดว่าการบริโภคน้ำตาลในอนาคต เอเชียจะยังคงครองตำแหน่งภูมิภาคที่มีการบริโภคน้ำตาลมากที่สุด โดยสัดส่วน<br />การบริโภคอาจเพิ่มขึ้นจาก 40% ในปัจจุบัน เป็น 49% ภายในปี 2030 โดยอินเดียจะบริโภคน้ำตาลเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า ภายช่วงเวลา 20 ปีข้างหน้า <br />ส่วนจีนมีแนวโน้มบริโภคน้ำตาลสูงกว่ายุโรปภายในปี 2014 คาดการณ์ว่าภายในปี 2030 การบริโภคน้ำตาลของอินเดียและจีน คิดเป็นสัดส่วน<br />ประมาณ 17.6 % และ 14.7% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับการบริโภคน้ำตาลทั่วโลก ในขณะที่ยุโรปการบริโภคน้ำตาลจะอยู่ในระดับคงที่ แต่<br />แอฟริกาจะบริโภคน้ำตาลเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 13% ภายในปี 2030 (โดยเฉพาะในบางประเทศ เช่น อูกันดา กินี บูร์กินาฟาโซ) ซึ่งเป็นผลมาจาก<br />การเติบโตอย่างรวดเร็วของจำนวนประชากรและ GDP</div>
<div class="style208">
ทางด้านการผลิต รายงานฉบับดังกล่าว ยืนยันว่า บราซิลจะยังคงเป็นประเทศที่มีการผลิตและส่งออกน้ำตาลมากที่สุดในโลก โดยผลผลิต<br />ของบราซิล เพิ่มขึ้นถึง 35% ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา และมีการส่งออกคิดเป็นสัดส่วนราว 60% ของปริมาณน้ำตาลที่ส่งออกทั้งหมดทั่วโลก ใน<br />อนาคตบราซิลน่าจะยังมีอิทธิพลต่อตลาดน้ำตาลโลกสูงสุดต่อไป บริษัท Czarnikow ระบุว่า การผลิตน้ำตาลของโลกจำเป็นต้องเพิ่มขึ้นอีก 90 <br />ล้านเมตริกตัน (raw value) ภายใน 20 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับกับความต้องการบริโภคน้ำตาลที่เพิ่มขึ้น คาดว่าด้วยกำลังความสามารถในการ<br />ขยายการผลิตและทรัพยากรที่มีอยู่ของบราซิล น่าจะทำให้ผลผลิตน้ำตาลเพิ่มขึ้นได้อีก 45 ล้านตันในอนาคต ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งขึ้นอยู่กับ<br />การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและการเปลี่ยนแปลงการจัดการภายในของประเทศอื่นๆ ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำตาล เช่น ประเทศไทย เป็นต้น</div>
<div class="style208">
องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO ได้คาดการณ์ว่า จำนวนประชากรโลกอาจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็น 9.1 พันล้านคน<br />ภายในปี 2050 ซึ่งจะทำให้การผลิตอาหารของโลกจะต้องเพิ่มขึ้นอีก 70% ภายใน 30 ปีข้างหน้า ความต้องการบริโภคส่วนใหญ่จะมาจากประเทศ<br />เศรษฐกิจใหม่เป็นหลัก แต่สำหรับภูมิภาคที่พัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป ความต้องการบริโภคอาหารอาจคงที่หรือมีแนวโน้มลดลง ดังนั้น <br />ในอนาคตประเทศต่างๆ ทั้งในภูมิภาคเอเชีย ยุโรปและแอฟริกา อาจมุ่งเน้นความสนใจไปที่การเพิ่มผลผลิตอาหารเป็นหลัก เพื่อให้ประเทศเกิดความ<br />มั่นคงด้านอาหาร (food security) และลดความผันผวนในตลาด ส่วนการผลิตน้ำตาลที่จะต้องเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับกับความต้องการบริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น<br />แต่ในทางตรงข้าม การผลิตน้ำตาลอาจเผชิญปัญหาจากการแก่งแย่งใช้ที่ดินกับพืชอาหารอื่นๆ เช่น ข้าว ข้าวโพด ซึ่งถือเป็นอาหารหลัก <br />(staple food) ที่มีความสำคัญมากกว่า และอาจเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้ราคาน้ำตาลเพิ่มสูงขึ้น คงเหลือแต่ประเทศบราซิลเท่านั้นที่มีที่ดินและ<br />ทรัพยากรเพียงพอสำหรับขยายการเพาะปลูก ในอนาคตผู้นำเข้าและผู้บริโภคจึงน่าจะขึ้นอยู่กับอุปทานน้ำตาลที่มาจากบราซิลมากยิ่งขึ้นอย่างไร<br />ก็ตาม บราซิลจำเป็นต้องลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานควบคู่ไปกับการขยายการผลิตน้ำตาล เนื่องจากในปัจจุบันบราซิลมีทางรถไฟเพียง 10%<br />เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกา ถึงแม้ว่าประเทศจะมีขนาดใกล้เคียงกันก็ตาม ดังนั้นปัญหาด้านการขนส่งอาจเป็นปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จของ<br />บราซิลได้ ส่วนสหภาพยุโรปและรัสเซียควรหาทางกลับมาเป็นผู้ส่งออกน้ำตาลให้ได้อีกครั้ง</div>
<div class="style208">
ปัจจุบัน น้ำตาลที่ผลิตจากอ้อยคิดเป็นสัดส่วนราว 3 ใน 4 ของผลผลิตน้ำตาลทั่วโลก ส่วนใหญ่ผลิตมาจากประเทศในเขตร้อนหรือกึ่งร้อน <br />เช่น บราซิล อินเดีย จีนและไทย ส่วนที่เหลืออีก 1 ใน 4 เป็นน้ำตาลที่ผลิตจากต้นบีท (sugar beet) โดยผลิตกันมากในประเทศที่มีอุณหภูมิ<br />ปานกลาง เช่น ยุโรปและสหรัฐอเมริกา การผลิตน้ำตาลจากอ้อยมีความได้เปรียบเหนือกว่าน้ำตาลจากต้นบีท เนื่องจากมีฤดูเพาะปลูกที่ยาวนานกว่า<br />และต้นทุนการผลิตต่ำกว่า แต่โอกาสในการขยายตัวของการเพาะปลูกอ้อยต่ำกว่าต้นบีทเนื่องจากข้อจำกัดทางด้านภูมิประเทศ ปริมาณน้ำฝนและ<br />สภาพภูมิอากาศ ในอนาคตภาคการผลิตน้ำตาลบีทอาจมีโอกาสเติบโตเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทเมล็ดพันธุ์ขนาดใหญ่หลายแห่ง เช่น KWS, SES <br />Vander Have และ Syngenta เป็นต้น กำลังพัฒนาการเพาะปลูกต้นบีทที่มีความเหมาะสมกับสภาวะในเขตร้อน โดยทดลองปลูกในประเทศอินเดีย<br />ปากีสถานและแอฟริกาใต้ อีกทั้งการเพาะปลูกต้นบีทยังใช้น้ำน้อยกว่าอ้อยถึง 2 ใน 3 สามารถเติบโตได้ในดินที่มีความเค็ม และเก็บเกี่ยวได้ภายใน<br />ระยะเวลา 6 เดือน จึงมีความเป็นไปได้ที่การผลิตน้ำตาลบีทจะขยายเพิ่มขึ้นในอนาคต ดังนั้น หากภาคการผลิตน้ำตาลบีทเติบโตมากขึ้น ควบคู่ไป<br />กับการพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตน้ำตาลจากอ้อย และการปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้เอื้ออำนวยต่ออุตสาหกรรมผลิตน้ำตาลแล้ว เช่น ด้าน<br />กฎระเบียบ ราคาน้ำตาลและค่าจ้างแรงงาน เป็นต้น ความเป็นไปได้ที่ผลผลิตน้ำตาลของโลกจะเพิ่มขึ้นได้ทันกับความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้นจึงจะ<br />มีโอกาสเกิดได้</div>
<div align="center" class="style208">
<img height="200" src="http://www.blogger.com/ceak2.gif" width="600" /></div>
<div class="style210">
อ้อยในไทย</div>
<div class="style208">
หากมีใครสักคนถามท่านผู้อ่านว่าอ้อยในเมืองไทยหน่วยงานใดรับผิดชอบ คาดว่าคำตอบที่ได้รับในใจหลายๆ ท่านคือ กระทรวงเกษตรและ<br />สหกรณ์ แต่ในความเป็นจริงแล้วอ้อยในเมืองไทยไม่เหมือนใครในโลก และคงไม่มีใครเหมือน สิ่งที่ผู้เขียนนึกถึงเวลาที่มีเหตุการณ์เกี่ยวกับอ้อย <br />คือ คำสอนของอาจารย์สมัยเป็นนักเรียนเกษตรในวิชาพืชไร่อุตสาหกรรม สำหรับคำจำกัดความของ<strong>อ้อยในเมืองไทย คือ</strong> <strong>พืชการเมือง</strong> ดังนั้นจึง<br />ไม่ต้องแปลกใจที่อ้อยไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่กลับอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงอุตสาหกรรม โดย <br /><strong>สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย </strong>ภายใต้<strong>พระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527</strong> ควบคุมการผลิตและการจำหน่าย<br />ทั้งในประเทศและต่างประเทศ</div>
<div class="style208">
พระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 เกิดขึ้มาจากความจำเป็นที่ต้องรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ และคุ้มครอง<br />รักษาผลประโยชน์ของชาวไร่อ้อยในด้านการผลิตและการจำหน่าย จึงควรจัดระบบและควบคุมการผลิตและจำหน่ายอ้อยและน้ำตาลทรายที่ผลิต<br />จากอ้อย โดยให้ชาวไร่อ้อยและเจ้าของโรงงานน้ำตาล ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงเข้าร่วมมือกับทางราชการ ตั้งแต่การผลิตอ้อยไปจนถึงการ<br />จัดสรรเงินรายได้จากการขายน้ำตาลทรายทั้งในและนอกราชอาณาจักรระหว่างชาวไร่อ้อย และเจ้าของโรงงานน้ำตาลทรายเพื่อให้อุตสาหกรรมอ้อย<br />และน้ำตาลทรายเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและเกิดความเป็นธรรมแก่ชาวไร่อ้อย เจ้าของโรงงานน้ำตาลและผู้บริโภค</div>
<div class="style208">
การบริหารระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ป ระกอบด้วยคณะกรรมการทั้งหมด 5 คณะ กล่าวคือ <strong>คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล<br />ทราย (กอน.)</strong> ทำหน้าที่กำหนดนโยบายเพื่อบริหารจัดการระบบอุตสาหกรรมอ้อย และน้ำตาลทราย กำหนดระเบียบ ข้อบังคับ หลักเกณฑ์และวิธี<br />การปฏิบัติและมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการคณะอื่นๆ ตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่ง กนอ. ได้แก่ ผู้แทนฝ่ายราชการ 5 คน ผู้แทนชาวไร่อ้อย 9 คน <br />และผู้แทนฝ่ายโรงงาน 7 คน<br /><br /> ลำดับต่อมา คือ<strong> คณะกรรมการบริหาร (กบ.) </strong>ประกอบด้วย ผู้แทนจากส่วนราชการ 3 คน ผู้แทนชาวไร่อ้อย 4 คน ผู้แทนฝ่ายโรงงาน<br />4 คน และผู้ทรงคุณวุฒิ 1 คน ทำหน้าที่หลักในการให้คำปรึกษาหรือข้อเสนอแนะต่อ กอน.และควบคุมการปฏิบัติงานของ กอน. ด้วย</div>
<div class="style208">
<strong> คณะกรรมการอ้อย(กอ.)</strong> ประกอบด้วย ผู้แทนจากส่วนราชการ 4 คน ผู้แทนชาวไร่อ้อย 6 คน และผู้แทนฝ่ายโรงงาน 4 คน ทำหน้าที่ให้<br />คำปรึกษาหรือข้อเสนอแนะต่อ กอน.และ กบ. ในกิจการที่เกี่ยวกับอ้อย</div>
<div class="style208">
<strong>คณะกรรมการน้ำตาลทราย (กน.)</strong> ประกอบด้วยผู้แทนจากส่วนราชการ 5 คน ผู้แทนชาวไร่อ้อย 5 คน และผู้แทนฝ่ายโรงงาน 5 คน <br />ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาหรือข้อเสนอแนะต่อ กอน.และ กบ. ในกิจาการที่เกี่ยวกับน้ำตาลทรายคณะกรรมการชุดสุดท้าย คือ <strong>คณะกรรมการบริหาร<br />กองทุน (กท.)</strong> ประกอบด้วย ผู้แทนจากส่วนราชการ 6 คนผู้แทนชาวไร่อ้อย 3 คน และผู้แทนฝ่ายโรงงาน 3 คน ทำหน้าที่กำหนดระเบียบว่าด้วย<br />การเก็บรักษา การหาผลประโยชน์และการใช้จ่ายเงินกองทุนและบริหารควบคุมการปฏิบัติงานกองทุนให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดทั้งนี้สำนักงาน<br />คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติดังกล่าว รวมทั้งมีภารกิจเกี่ยวกับการกำหนด<br />นโยบาย กำกับดูแล ส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายให้เติบโตอย่างยั่งยืน มีเสถียรภาพ โดยการกำหนดนโยบายส่งสริมการ<br />วิจัยพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ตลอดจนสร้างความเป็นธรรมและรักษาผลประโยชน์ในระบบอุตสาหกรรม<br />อ้อยและน้ำตาลทรายและผู้บริโภค</div>
<div class="style210">
อ้อยอุตสาหกรรม</div>
<div class="style208">
อุตสาหกรรมอ้อย และน้ำตาลทรายเกี่ยวข้องกับชีวิตของเกษตรกรกว่า 600,000 คน และเป็นอุตสาหกรรมที่สามารถสร้างรายได้ให้กับ<br />ประเทศปีละกว่า 80,000 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนในการส่งออกมากกว่าการบริโภคในประเทศราว 2 ใน 3 ของผลผลิตน้ำตาลที่ผลิตได้เนื่องจาก<br />อ้อยเป็นพืชอุตสาหกรรมตามที่กล่าวมาข้างต้น คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ได้ประกาศกำหนดพันธุอ้อยที่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมให้ชาวไร่<br />อ้อยปลูกในท้องที่ที่คณะกรรมการกำหนด จำนวน 35 พันธุ์ ซึ่งมีความเหมาะสมแตกต่างกันไปตามพื้นที่ปลูกของแต่ละภาค โดยมีศูนย์ส่งเสริม<br />อุตสาหกรรมอ้อย และน้ำตาลทรายประจำภาคต่างๆ ได้แก่ ภาค 1 กาญจนบุรี ภาค 2 กำแพงเพชร ภาค 3 ชลบุรี และภาค 4 อุดรธานี ทำหน้าที่ใน<br />การส่งเสริมอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายในพื้นที่ที่รับผิดชอบ</div>
<div align="center" class="style208">
<img height="200" src="http://www.blogger.com/ceak3.gif" width="600" /></div>
<div class="style208">
ในภาพรวมแล้ว อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย มีสถาบันชาวไร่อ้อยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่มีเพียง 29 สถาบันที่มีคุณลักษณะตามที่<br />กฎหมายกำหนด คือ มีสมาชิกไม่น้อยกว่า 600 คน และมีปริมาณอ้อยส่งโรงงานไม่น้อยกว่า 55% ซึ่งทั้ง 29 สถาบันได้รวมตัวกันเป็น 3 องค์กร<br />ชาวไร่อ้อย ได้แก่ สหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย สหสมาคมชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย และชมรมชาวไร่อ้อยภาคอีสาน ในส่วนของโรงงาน<br />น้ำตาลมีทั้งสิ้น 47 โรงงาน ก่อตั้งเป็น 3 สมาคมเช่นกัน ได้แก่ สมาคมการค้าอุตสาหกรรมน้ำตาล สมาคมการค้าผู้ผลิตน้ำตาลไทย และสมาคม<br />โรงงานน้ำตาลไทย</div>
<div class="style208">
สำหรับระบบการจำหน่ายน้ำตาลทรายของประเทศไทย กำหนดจัดสรรโควต้าน้ำตาลทรายของประเทศออกเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย<br /><strong> <br /> น้ำตาล โควต้า ก</strong> คือ น้ำตาลทรายขาว น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ และน้ำตาลชนิดอื่นๆ ที่คณะกรรมการอ้อยและน้ำตายทรายกำหนดให้<br />ผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศ ซึ่งจะกำหนดเป็นแต่ละฤดูการผลิต<br /><strong><br /> น้ำตาล โควต้า ข</strong> คือน้ำตาลทรายดิบที่คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายกำหนดให้ผลิตเพื่อส่งมอบให้บริษัทอ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด <br />ส่งออกและจำหน่ายไปยังต่างประเทศ จำนวน 8 แสนตัน เพื่อใช้ทำราคาในการคำนวณราคาน้ำตาลส่งออก<br /><strong><br /> น้ำตาล โควต้า ค</strong> คือ น้ำตาลทรายดิบ หรือ น้ำตาลทรายขาว หรือ น้ำตาลทรายบริสุทธิ์ที่คณะกรรมการอ้อย และน้ำตาลทรายกำหนดให้<br />โรงงานผลิตเพื่อการส่งออกหลังจากที่โรงงานผลิตน้ำตาลทรายได้ครบตามปริมาณที่จัดสรรให้ตามโควต้า ก และ โควต้า ข แล้ว</div>
<div class="style208">
ส่วนระบบการซื้อขายอ้อยในปัจจุบันจะซื้อขายกันตามค่าความหวาน ระบบดังกล่าวเริ่มใช้มาตั้งแต่ปีการผลิต 2535/36 เป็นระบบที่นำมาจาก<br />ออสเตรเลีย ค่าคุณภาพความหวานวัดเป็น C.C.S หรือ Commercial Cane Sugar หมายถึง ปริมาณน้ำตาลที่มีอยู่ในอ้อย ซึ่งสามารถหีบสกัดออก<br />มาเป็นน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ โดยในระหว่างผ่านกรรมวิธีการผลิต ถ้ามีสิ่งไม่บริสุทธิ์ที่ละลายอยู่ในน้ำอ้อย 1 ส่วน จะทำให้สูญเสียน้ำตาลไป <br />50% ของจำนวนสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ อ้อย 10 C.C.S. จึงหมายถึง เมื่อนำอ้อยมาผ่านกระบวนการผลิต จะได้น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ 10% กล่าวคือ <br />อ้อย1 ตัน หรือ 1,000 กิโลกรัม จะได้น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ 100 กิโลกรัม โดยมีสูตรการคำนวณราคาอ้อยดังนี้</div>
<div class="style208">
ราคาอ้อย = รายได้ส่วนที่ 1 + (รายได้ส่วนที่ 2 x ค่า C.C.S)+ รายได้จากกากน้ำตาล โดย รายได้ส่วนที่ 1 = รายรับจากการขายน้ำตาล<br />ที่คิดตามน้ำหนัก</div>
<div class="style208">
รายได้ส่วนที่ 2 = รายรับจากการขายน้ำตาลที่คิดตามค่าความหวาน</div>
<div class="style208">
สำหรับระบบการจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในประเทศ หรือน้ำตาลโควต้า ก คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย มอบหมายให้คณะกรรมการ<br />น้ำตาลทราย เป็นผู้วางแผนควบคุม และกำหนดวิธีการจำหน่าย โดยมีศูนย์บริหารการผลิต การจำหน่าย และการขนย้ายน้ำตาลทราย เป็นฝ่ายปฏิบัติ<br />การ โดยจำหน่ายเป็นลักษณะตลาดกลาง ซึ่งโรงงานน้ำตาลดำเนินการขายอย่างเสรี คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายจะควบคุมปริมาณน้ำตาล<br />ทรายที่จะเข้าสู่ตลาดกลาง และรักษาเสถียรภาพของราคาไว้ โดยคณะกรรมการจะกำหนดงวดการนำน้ำตาลทรายออกมาจำหน่ายตามความต้องการ<br />ของตลาดปริมาณน้ำตาลทราย โควต้า ก ในปีการผลิต 2552/53 กอน. กำหนดไว้ที่ 22 ล้านตัน โดยแบ่งเป็นงวดจำหน่าย จำนวน 52 งวด ตาม<br />จำนวนสัปดาห์ในรอบปี เพื่อให้โรงงานน้ำตาลนำน้ำตาลออกจำหน่ายสัปดาห์ละ 1 งวด ให้แก่ผู้ค้าส่งหรืออุตสาหกรรมต่างๆ ที่ใช้น้ำตาลทรายเป็น<br />วัตถุดิบ โดยศูนย์บริหารฯ เป็นหน่วยงานควบคุมด้วยระบบใบอนุญาตขนย้ายน้ำตาลของโรงงานน้ำตาลต่างๆ ให้กับผู้ซื้อภายหลังจากชำระค่าน้ำตาล<br />ให้กับผู้แทนโรงงานแล้วและผู้ซื้อน้ำตาลจะนำใบอนุญาตดังกล่าวของโรงงานไปรับน้ำตาลเพื่อนำไปจำหน่ายต่อไป</div>
<div align="center" class="style208">
<img height="200" src="http://www.blogger.com/ceak5.gif" width="584" /></div>teerawat roobngamhttp://www.blogger.com/profile/07774548420704503962noreply@blogger.com0